คู่มือสำหรับมือใหม่ ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing)

คู่มือสำหรับมือใหม่ ในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing)

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คืออะไร ?

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ การลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าที่แท้จริง ต่ำกว่าราคาที่ตลาดให้ในปัจจุบัน ซึ่งในระยะยาวแล้วเมื่อตลาดได้สะท้อนและรับรู้มูลค่าของบริษัทนั้นแล้ว จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นและทำให้มีผลตอบแทนการลงทุนที่น่าพอใจ

ซึ่งไอดอลของนักลงทุนสายนี้ระดับโลก ก็คงจะเป็นใครไม่ได้ คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ส่วนในไทยเราก็มี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่ลงทุนในแนวทางนี้มากว่า 15 ปี แม้จะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทำกันได้ เพราะสิ่งที่คุณต้องมี 3 อย่างแรก เลยคือ

1⃣ เงินทุน
2⃣ เวลา
3⃣ วินัย

เพราะถึงแม้คุณจะมีเงินทุนเป็นล้านบาทในการเริ่มต้น ก็ไม่ได้แปลว่า คุณจะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ เพราะผลตอบแทนของการลงทุนแบบนี้ มักต้องมีปัจจัยเรื่องเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ (แต่ถ้าได้อาจจะเป็นไปได้ว่า คุณกำลังเก็งกำไรอยู่)

และอีกข้อที่สำคัญ คือ ความมีวินัย เพราะแม้คุณจะลงทุนเงินล้าน ซึ่งคิดว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในห้าปี แต่ถ้าคุณไม่มีวินัยในการติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่คุณไปลงทุนเสมอ ทำให้ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่มีผลต่อการทำธุรกิจของบริษัท ซึ่งถ้าชั่วคราวก็ยังพอวางใจได้ แต่ถ้าถึงขั้นมาเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางธุรกิจไปเลย ทำให้สุดท้ายแล้ว คุณอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่มุ่งหมายไว้ หรือถึงขั้นขาดทุนก็เกิดขึ้นได้

จึงทำให้สิ่งสำคัญของการเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า คือ การประเมินมูลค่าหุ้นหรือธุรกิจที่คุณจะลงทุนให้ได้ โดยจะมีการใช้หลักการทางบัญชี การเงิน ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ในเชิงปริมาณ และใช้กลยุทธ์ธุรกิจ การตลาด เพื่อใช้วิเคราะห์ในเชิงคุณภาพ ซึ่งมีรายละเอียดมากและต้องใช้เวลาในการศึกษา

ผมจึงอยากสรุปและอธิบายสั้น ๆ ให้มือใหม่ ได้ลองไปปรับใช้เป็นคู่มือในการลงทุนในเบื้องต้น กันครับ

📌 การวิเคราะห์ภาวะธุรกิจ

สาเหตุที่ทำให้หุ้นถูกประเมินราคาต่ำเกินไป โดยส่วนใหญ่จะมาจากสามสาเหตุสำคัญ คือ หนึ่ง ตลาดยังไม่รับรู้ถึงโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตในอนาคต อย่างเช่น ผมว่าคุณน่าจะเกิดอาหารรู้งี้กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีไม่น้อยใช่ไหมละครับ ในส่วนสาเหตุที่สอง ผลกระทบจากเหตุการณ์ในระยะสั้น-กลาง เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ, วิกฤตการเมือง, โรคระบาด เป็นต้น ส่วนสาเหตุที่สามเป็นผลกระทบในระยะยาว (พื้นฐานธุรกิจ) เช่น จากเทคโนโลยีเปลี่ยน, ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม, สินค้าล้าสมัย เป็นต้น

ยกตัวอย่างจากวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ ที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากข่าววัคซีนที่กำลังมา จึงคาดว่าเศรษฐกิจน่าจะเริ่มฟื้นตัว ส่งสัญญาณให้ราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เคยได้รับผลกระทบหนักต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัวกลับมาด้วยเช่นเดียวกัน

แต่เนื่องจากการลงทุนรูปแบบนี้ จะทำให้คุณอาจจะต้องเสี่ยงกับ บริษัทหรือหุ้น ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง ที่ทุกคนต่างเทขายหนีตาย (คุณยังจำช่วง มี.ค.2563 ที่ราคาหุ้นลงหนัก ๆ ได้ใช่ไหม ?) เพราะนอกจากที่คุณต้องมีเงินสดในมือแล้ว ยังต้องมีความกล้าและอดทน แต่พอมาถึงวันนี้ คุณก็จะรู้แล้วว่า การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ก็แค่ การมีคนเห็นด้วยกับคุณ…ในภายหลังนั่นเอง

📌 เครื่องมือหาหุ้นมูลค่า

มีหลายวิธีที่นักลงทุนสามารถประเมินว่าหุ้นมีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐานหรือไม่

หนึ่งคือดู อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price per Earning : PE)

ซึ่งก็คือราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) โดย EPS คำนวณได้โดยการหารกำไรสุทธิด้วยจำนวนหุ้น (ไม่ต้องคำนวณเอง ตอนนี้หลายเว็บมีให้ดู) สิ่งนี้สามารถช่วยให้นักลงทุนทราบได้ว่า บริษัทที่จะลงทุน มีราคาแพงหรือไม่ เมื่อเทียบกับบริษัท อื่น ๆ ในภาคธุรกิจเดียวกัน

สอง อัตราส่วนราคาต่อบัญชี (Price per Book : PB)

คำนวณโดย ราคาตลาด หารด้วย มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น โดย มูลค่าตามบัญชี คือ สินทรัพย์-หนี้สิน (ไม่ต้องคำนวณเองเช่นกัน) โดย PB เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่นักลงทุนนิยมใช้ดูเปรียบเทียบความถูกแพงของ บริษัท ว่ามีมูลค่าตลาดเป็นกี่เท่าของมูลค่าตามบัญชีของบริษัท และยังใช้ดูเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในภาคธุรกิจเดียวกัน

สาม อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)

คำนวณโดย เงินปันผลต่อหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น (ไม่ต้องคำนวณเอง) ซึ่งอัตราส่วนนี้ก็มักถูกใช้บ่งชี้มูลค่าได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าการมีตัวเลขนี้สูง จะหมายถึงการได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่มีสิ่งที่ต้องสังเกต คือ อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนนี้ จะเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาหุ้น ดังนั้น เมื่อราคาหุ้นต่ำ จะทำให้อัตราส่วนนี้สูง และในทางกลับกัน เมื่อราคาหุ้นสูง จะทำให้อัตราส่วนนี้ต่ำ

ดังนั้น คุณต้องตรวจสอบบริษัทดูก่อนว่า การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น โดยเฉพาะเมื่ออัตราส่วนนี้สูงมักจะเกิดจากราคาหุ้นลดลงนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม (ซึ่งโดนทุกบริษัท) หรือเกิดเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจเหล่านั้น (สินค้าล้าสมัย, ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม) จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ ควรระวัง !

📌 กับดักหุ้นคุณค่า

ผมเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่งเพราะเข้าใจว่าเป็นหุ้นคุณค่า แต่ผ่านไปห้าปี หุ้นคุณค่าที่ผมคิดไว้ มันก็ยังคงถูกกว่าตลาดอยู่อย่างนั้น ตลาดยังไม่รู้ หรือ หุ้นตัวนั้น อาจจะถูกแบบนั้นตลอดกาลก็ได้ และนี่ก็คือ กับดักที่นักลงทุนมือใหม่มักเจออยู่เสมอ

ทำให้ทุกครั้งที่เราจะประเมินมูลค่าหุ้น ขอให้ลองมองหา ตัวกระตุ้น หรือปัจจัยกระตุ้น อะไรสักอย่างที่จะช่วยให้หุ้นที่ถูกอยู่ตอนนี้ สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เพราะหากไม่มีตัวกระตุ้น ที่จะเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของตลาดเกี่ยวกับหุ้น ก็อาจจะทำให้ราคาถูกต่อไปอยู่อย่างนั้น หรือไม่บางทีอาจจะปรับตัวลดลงก็ได้

ตัวกระตุ้นก็เช่น การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของบริษัท (New S-Curve), เทคโนโลยีเปลี่ยน, ข้อกำหนดข้อบังคับ, พฤติกรรมผู้บริโภค เป็นต้น

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า มักจะเป็นเรื่องยากสำหรับการเริ่มต้น ทั้งในแง่วิธีการ และผลตอบแทนที่ได้รับ (ลืมเรื่องเล่นหุ้นเพื่ออยากได้ค่าขนม หรือเล่นเพื่อมาโชว์พอร์ทได้เลย) แต่ผมขอรับรองจากประสบการณ์ได้ว่า ในระยะยาวแล้ว คุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดี และแถมยังทำให้คุณมีความสุขในการลงทุนด้วย

❗ หมายเหตุ : โพสนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้นักลงทุนที่อยากเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาเพิ่มเติม เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้สนใจควรต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการลงทุนเสมอ


สนใจข้อมูลธุรกิจ การเงิน การลงทุน เล่าให้ฟังเข้าใจง่ายๆ พร้อมทั้งแรงบันดาลใจดีๆ ในการสร้างฝัน ติดตาม iYom Biz+Inspiration ได้ที่
website : https://iyom-bizinspiration.com
facebook : https://www.facebook.com/iYomBizInspiration

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *