7 Step สู่การเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าจาก หนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน (เล่ม 1)

7 Step สู่การเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าจาก หนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน (เล่ม 1)

หนังสือในตำนานเกี่ยวกับการลงทุนอีกหนึ่งเล่ม ของคุณกวี ชูกิจเกษม ที่ถือว่าเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่าที่ประสบความสำเร็จ และยังนำความรู้และประสบการณ์ที่มี มาเผยแพร่ให้กับนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจแนวการลงทุนดังกล่าวด้วย จุดเด่นของคุณกวี ที่แอดชอบคือ การเล่าเรื่องยากให้ฟังแล้วสนุก เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง

โดยสำหรับหนังสือเล่มนี้ ช่วยให้แอดมีแนวความคิดการลงทุน (แนว VI) ที่ชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังมีเครื่องมือที่ช่วยให้เราคัดกรองหุ้น แบบรู้ความหมายในแง่ของการวิเคราะห์ธุรกิจด้วย แอดเลยสรุปออกมาเป็น 7 Step นักลงทุนเน้นคุณค่า สำหรับนักลงทุนที่อยากจะเริ่มต้น การลงทุนแบบเน้นคุณค่า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ลองไปดูกันทีละ Step ครับ

📌 STEP 1 : เริ่มต้นที่ปรับ Mind Set 8 อย่าง

การลงทุนเน้นคุณค่าที่นอกจากเราต้องเข้าใจในตัวธุรกิจแล้ว ก่อนอื่นที่สำคัญกว่า คือ การเข้าใจในตัวเองและปรับทัศนคติตัวเองให้พร้อมก่อนการลงทุน ซึ่งประกอบไปด้วย

1. ความสุข : มีความสุขไปกับการลงทุน

2. ใช้เงิน : รู้จักใช้เงินเยี่ยงทาส (เอาไปลงทุน)

3. กล้าตัดสินใจ : สิ่งที่นักลงทุนควรมี คือ ความกล้า มากกว่า ความเก่ง เพราะความเก่งสามารถสอนกันได้ ขณะที่ความกล้าสอนกันไม่ได้

4. คิดบวกกับการลงทุน : “จงคิดบวกอย่างจริงจังและจริงใจกับสิ่งที่คุณอยากได้อยากมี และพลังงานแห่งการคิดบวกอย่างจริงจังและจริงใจนั้น จะนำสิ่งที่คุณอยากได้อยากมีเข้ามาในชีวิตคุณ”

5. อดทนให้เป็น : ต้องอดทนสามอย่าง อดทนต่อความล้มเหลว, อดทนรอโอกาสที่เหมาะสมต่อการลงทุน และอดทนถือหุ้นยาว

6. อย่าพยายามคาดการณ์ตลาด

7. อย่าชื่อคำแนะนำของผู้อื่น

8. รักษาสุขภาพให้แข็งแรง : ดูแลกายและใจ เพื่อดูเงินของเราเติบโตต่อไปเรื่อยๆ

📌 STEP 2 : หาบริษัทดีที่น่าลงทุนด้วย 8 คุณสมบัติพิเศษของหุ้น

1. กำไรเติบโตสม่ำเสมอในระยะยาว > ดูย้อนหลัง 5-10 ปี, และไม่ขาดทุนตอนวิกฤติเศรฐกิจ

2. มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าได้สูง > เป็นบริษัทที่มีแบรนด์สินค้าเป็นที่ยอมรับ (อันนี้แอดขอเพิ่มถ้าไม่มีแบรนด์ก็ต้องมีต้นทุนต่ำสุด Cost Leader)

3. ผู้นำในธุรกิจ > การประหยัดต่อขนาดทำให้ค่าใช้จ่ายต่อรายได้ต่ำกว่าคู่แข่ง

4. ลงทุนในธุรกิจที่ถนัด

5. ฐานะการเงินแข็งแกร่ง > หนี้ไม่มีหรือน้อยมาก รวมทั้งบริษัทที่มีเงินสดมหาศาล, การไม่มีหนี้ ทำให้ผ่านวิกฤตไปได้อีกทั้งบริษัทยังมีความสามารถในการแข่งขันสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

6. ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากในอนาคต

7. ไม่พึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่รายเดียวในการสร้างรายได้ > หรือเป็นบริษัทที่ต้องขอใบอนุญาติ

8. ผู้บริหารมีฝีมือ และธรรมภิบาล

🎯 *TOOLS : สำหรับ STEP นี้จะมีเครื่องมือวิเศษไว้สแกนดูบริษัทว่าเข้าข่ายตามคุณสมบัติหรือไม่ นั่นก็คือ “เคล็ดลับ 9 อัตราส่วนทางการเงิน” ที่เคยได้โพสไว้ ตามไปดูกันได้เลย > http://bit.ly/2IU8fyf

📌 STEP 3 : มอง 3 มุม เพื่อการได้หุ้นถูก

มุมที่ 1 : ROE vs P/E vs P/B :

– หุ้นที่มี ROE สูงจะทำให้ P/E และ P/B สูงขึ้นตามไปด้วย

– โดย ถ้า P/E < ROE แปลว่า หุ้นถูกน่าเก็บ

– P/B < (ROE/5) แปลว่า หุ้นถูกน่าเก็บ

(ถ้าหุ้นนั้นอยู่ในช่วงวิกฤต ควรใช้ ROE ก่อนวิกฤตมาดูแทน)

มุมที่ 2 : ความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นมี 2 ตัว

– หนึ่ง คือ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) อันนี้บริษัทในใต้หล้าก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ

– สอง คือ ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ (Unsystematic Risk) อันนี้เป็นความเสี่ยงเฉพาะบริษัทของใครของมัน ทำไม่ดีก็เน่าให้เห็นกันไปเลย อันนี้เราสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดได้โดยการเลือกหุ้นดีๆ เข้าพอร์ต และกระจายความเสี่ยงด้วย

มุมที่ 3 : วัฎจักรเศรษฐกิจ

เข้าใจวัฎจักรกับ 4 ช่วงเศรษฐกิจ โดยใช้ อัตราขยายตัว (GDP Growth) และอัตราเงินเฟ้อ(Inflation)

– ช่วงที่ 1 เศรษฐกิจฟื้น เงินเฟ้อลด : เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากถดถอยมาระยะหนึ่ง แต่เงินเฟ้อหรือราคาสินค้ากำลังลดลงมาทำจุดต่ำสุดตามภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยมาก่อนหน้า

– ช่วงที่ 2 เศรษฐกิจขยายตัว เงินเฟ้อเพิ่ม : เศรษฐกิจผ่านจากช่วงฟื้นตัว มาสู่ช่วงขยายตัว และเงินเฟ้อก็เริ่มปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในช่วงที่ 1 ตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่ม

– ช่วงที่ 3 เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น : เศรษฐกิจเริ่มชะลอการขยายตัวหลังจากผ่านจุดสูงสุดมาในช่วงที่ 2 แต่เงินเฟ้อจะเริ่มขึ้นมาทำจุดสูงสุดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มีมาก่อนหน้า

– ช่วงที่ 4 เศรษฐกิจหด เงินเฟ้อลด : เศรษฐกิจหดตัวอย่างเต็มที่ และเงินเฟ้อปรับตัวลดลงมาจากทำจุดสูงสุดใครงงลองไปดูเป็นภาพได้ที่

วัฏจักรเศรษฐกิจ : จากหนังสือ เพาะหุ้นเป็นเห็นผลยั่งยืน

ข้อสังเกต

1. เวลาลงทุน (ระยะยาว) คือ ช่วงที่ 4 เพราะราคาหุ้นจะทำจุดต่ำสุด ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงที่ 1 ที่ตลาดหุ้นจะขึ้นและจะขึ้นมากกว่า 100% ดูได้จาก เศรษฐกิจยังคงหดตัว แต่เริ่มเห็นเงินเฟ้อลดลงและธนาคารกลางเริ่มลดดอกเบี้ย

2. ควรหลีกเลี่ยงลงทุน คือ ช่วงที่ 3 เพราะเศรษฐกิจแย่แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงซะงั้น ยากต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทจดทะเบียนกำไรลดหรือขาดทุนเลยก็ว่าได้

📌 STEP 4 : กระจายความเสี่ยง

ขั้นตอนนี้จะเชื่อมโยงกับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นตัวที่สอง คือ ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ (Unsystematic Risk) เพราะยิ่งถ้าเราลงทุนกระจายในหลายๆ ธุรกิจมากความเสี่ยงที่เราจะเจ๊งก็ลดลง แต่มากขนาดไหนถึงเรียกว่าเหมาะสม

คุณกวีแนะว่าควรจะสัก 10-15 บริษัท แต่ก็ไม่ควรต่ำกว่า 5 บริษัท

📌 STEP 5 : ตามติดผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

งบรายไตรมาสนั้นแหละวิเคราะห์และอ่านซะ ดูทั้งการเปลี่ยนแปลงของรายได้, กำไรขั้นต้น, อัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและดำเนินงาน, อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่อกำไรกอ่นดอกเบี้ยและภาษ๊ และกำไรสุทธิ (ไว้แอดจะมาสอนดู)

📌 STEP 6 : ลงทุนระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยง

สิ่งสำคัญ คือ การร่ำรวยตามวิธีธรรมชาตินั้นต้องใช้เวลานานและอดทนพอดู ฉะนั้น อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเอง เพื่อให้อายุยืนขึ้นจะได้เห็นและสัมผัสถึงความมั่งคั่งของตัวเอง

📌 STEP 7 : ย้อนกลับไป STEP 2

เพื่อหาหุ้นดีเข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่อง

กับ 7 STEP ที่กล่าวมาในข้างต้น น่าจะช่วยให้ใช้เป็นคู่มือสู่การเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ที่ประสบความสำเร็จได้ครับ แต่ต้องอย่าลืมสิ่งสำคัญ นั่นคือ ความตั้งใจ อดทน ความมีวินัย และรู้จักเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพียงเท่านี้ ความสำเร็จย่อมมาหาคุณได้แน่

ใครสนใจหนังสือเล่มนี้ ตอนนี้เหลือแต่เป็นแบบ ฉบับ PDF

คลิกไปดูกันได้ที่ > https://bit.ly/2KgTUwr

—————————————————

สนใจข้อมูลธุรกิจ การเงิน การลงทุน เล่าให้ฟังเข้าใจง่ายๆ พร้อมทั้งแรงบันดาลใจดีๆ ในการสร้างฝัน ติดตาม iYom Biz+Inspiration ได้ที่

website : iyom-bizinspiration.com

facebook : https://www.facebook.com/iYomBizInspiration/

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *